เมนู

วสลสูตรที่ 7


ว่าด้วยคนถ่อย 20 จำพวก


[305] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครองอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้า
ไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ก่อไฟ
แล้วตกแต่งของที่ควรบูชา อยู่ในนิเวศน์ ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับตรอก ในพระนครสาวัตถี เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์
ของอัคคิกภารทวาชพราหมณ์ อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ได้เห็นพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าเสด็จมาแต่ไกลทีเดียว ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า หยุด
อยู่ที่นั่นแหละคนโล้น หยุดอยู่ที่นั่นแหละสมณะ หยุดอยู่ที่นั่นแหละคนถ่อย.
เมื่ออัคคิกภารทวาชพราหมณ์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสถามว่า ดูก่อนพราหมณ์ ก็ท่านรู้จักคนถ่อย หรือธรรมเป็นเครื่อง
กระทำให้เป็นคนถ่อยหรือ ?
อ. ท่านพระโคดม ข้าพเจ้าไม่รู้จักคนถ่อยหรือธรรมเป็นเครื่องกระทำ
ให้เป็นคนถ่อย ดีละ ขอท่านพระโคดมจงแสดงธรรมตามที่ข้าพเจ้าจะพึงรู้จัก
คนถ่อยหรือธรรมเป็นเครื่องกระทำให้เป็นคนถ่อยเถิด.
พ. ดูก่อนพราหมณ์ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจัก
กล่าว อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าได้ตรัสพระคาถาประพันธ์นี้ว่า

[306] 1. คนมักโกรธ ผูกโกรธ
ลบหลู่อย่างเลว มีทิฏฐิวิบัติ และมีมายา
พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

2. คนผู้เบียดเบียนสัตว์ที่เกิดหน-
เดียว แม้หรือเกิดสองหน ไม่มีความเอ็นดู
ในสัตว์ พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

3. คนเบียดเบียน เที่ยวปล้น มี
ชื่อเสียงว่า ฆ่าชาวบ้านและชาวนิคม พึงรู้
ว่าเป็นคนถ่อย.

4. คนลักทรัพย์ที่ผู้อื่นหวงแหน
ไม่ได้อนุญาตให้ ในบ้านหรือในป่า พึงรู้
ว่าเป็นคนถ่อย.

5. คนที่กู้หนี้มาใช้แล้วกล่าวว่า หา
ได้เป็นหนี้ท่านไม่ หนีไปเสีย พึงรู้ว่าเป็น
คนถ่อย.

6. คนฆ่าคนเดินทาง ชิงเอาสิ่งของ
เพราะอยากได้สิ่งของ พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

7. คนถูกเขาถามเป็นพยาน แล้ว
กล่าวคำเท็จ เพราะเหตุแห่งตนก็ดี เพราะ
เหตุแห่งผู้อื่นก็ดี เพราะเหตุแห่งทรัพย์ก็ดี
พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

8. คนผู้ประพฤติล่วงเกิด ในภริยา
ของญาติก็ตาม ของเพื่อนก็ตาม ด้วยข่มขืน
หรือด้วยการร่วมรักกัน พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

9. คนผู้สามารถ แต่ไม่เลี้ยงมารดา
หรือบิดาผู้แก่เฒ่าผ่านวัยหนุ่มสาวไปแล้ว
พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

10. คนผู้ทุบตีด่าว่ามารดาบิดาพี่-
ชายพี่สาว พ่อตาแม่ยาย แม่ผัวหรือพ่อผัว
พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

11. คนผู้ถามถึงประโยชน์ บอก
สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ พูดกลบเกลื่อนเสีย
พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

12. คนทำกรรมชั่วแล้ว ปรารถนา
ว่าใครอย่าพึงรู้เรา ปกปิดไว้ พึงรู้ว่าเป็น
คนถ่อย.

13. คนผู้ไปสู่สกุลอื่นแล้ว และ
บริโภคโภชนะที่สะอาด ย่อมไม่ตอบแทน
เขาผู้มาสู่สกุลของตน พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

14. คนผู้ลวงสมณะ พราหมณ์
หรือแม้วณิพกอื่น ด้วยมุสาวาท พึงรู้ว่าเป็น
คนถ่อย.

15. เมื่อเวลาบริโภคอาหาร คนผู้ด่า
สมณะหรือพราหมณ์และไม่ให้โภชนะ พึงรู้
ว่าเป็นคนถ่อย.

16. คนในโลกนี้ ผู้อันโมหะครอบ-
งำแล้ว ปรารถนาของเล็กน้อย พูดอวดสิ่ง
ที่ไม่มี พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

17. คนเลวทราม ยกตนและดูหมิ่น
ผู้อื่น ด้วยมานะของตน พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

18. คนฉุนเฉียว กระด้าง มีความ
ปรารถนาลามก มีความตระหนี่ โอ้อวด
ไม่ละอาย ไม่สะดุ้งกลัว พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

19. คนติเตียนพระพุทธเจ้า หรือ
ติเตียนบรรพชิต หรือ คฤหัสถ์ สาวกพระ-
พุทธเจ้า พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

20. ผู้ใดแลไม่เป็นพระอรหันต์ แต่
ปฏิญาณว่าเป็นพระอรหันต์ ผู้นั้นแลเป็นคน
ต่ำช้า เป็นโจรในโลกพร้อมทั้งพรหมโลก
คนเหล่าใด เราประกาศแก่ท่านแล้ว คน
เหล่านั้นนั่นแล เรากล่าวว่าเป็นคนถ่อย.

บุคคลไม่เป็นคนถ่อยเพราะชาติ ไม่
เป็นพราหมณ์เพราะชาติ แต่เป็นคนถ่อย

เพราะกรรม เป็นพราหมณ์เพราะกรรม ท่าน
จงรู้ข้อนั้น ตามที่เราแสดงนี้ บุตรของคน
จัณฑาลเลี้ยงตัวเองได้ ปรากฏชื่อว่ามาตังคะ
เป็นคนกินของที่ตนให้สุกเอง เขาได้ยศ
อย่างสูงที่ได้แสนยาก กษัตริย์และพราหมณ์
เป็นอันมากได้มาสู่ที่บำรุงของเขา เขาขึ้น
ยานอันประเสริฐ ไปสู่หนทางใหญ่อันไม่มี
ฝุ่น เขาสำรอกกามราคะเสียได้แล้ว เป็นผู้
เข้าถึงพรหมโลก ชาติไม่ได้ห้ามเขาให้เข้า
ถึงพรหมโลก พราหมณ์เกิดในสกุลผู้สาธ-
ยายมนต์ เป็นพวกร่ายมนต์ แต่พวกเขา
ปรากฏในบาปกรรมอยู่เนือง ๆ พึงถูก
ติเตียนในปัจจุบันทีเดียว และภพหน้าก็เป็น
ทุคติ ชาติห้ามกันพวกเขาจากทุคติหรือจาก
ครหาไม่ได้ บุคคลไม่เป็นคนถ่อยเพราะชาติ
ไม่เป็นพราหมณ์เพราะชาติ แต่เป็นคนถ่อย
เพราะกรรม เป็นพราหมณ์เพราะกรรม.

[307] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว อัคคิกภารทวาช-
พราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของ
พระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก

พระองค์ทรงประกาศธรรม โดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ
เปิดของที่ปิด บอกทางแกคนหลงทาง หรือตามประทีปไว้ในที่มืด ด้วยหวัง
คนมีจักษุจักเห็นรูปได้ ฉะนั้น ข้าพระองค์ขอถึงพระองค์กับทั้งพระธรรมและ
พระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ ขอพระองค์ทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึง
สรณะตลอดชีวิตจำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.
จบวสลสูตรที่ 7

อรรถกถาอัคคิกภารทวาชสูตร

*

อัคคิกภารทวาชสูตรเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้ :-
สูตรนั้นเรียกว่า วสลสูตร ดังนี้ ก็มีอุบัติอย่างไร ? พระผู้มีพระภาค-
เจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้
พระนครสาวัตถี ทรงตรวจดูสัตวโลก ด้วยพุทธจักษุ ในเวลาเสร็จภัตกิจ
เป็นต้น โดยนัยที่กล่าวแล้วในกสิภารทวาชสูตรนั่นแล ทรงเห็นอัคคิกภาร-
ทวาชพราหมณ์ ผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย แห่งสรณะและสิกขาบท ทรงทราบว่า
เมื่อเราไปในที่นั้นแล้ว การสนทนาก็จักเป็นไป ต่อแต่นั้น ในที่สุดแห่งการ
สนทนา พราหมณ์นั่นฟังธรรมเทศนาแล้ว จักถึงสรณะสมาทานสิกขาบท
ทั้งหลาย และได้เสด็จไปในนิเวศน์ของอัคคิกภารทวาชพราหมณ์นั้น เมื่อการ
สนทนาเป็นไปแล้ว พราหมณ์ได้ทูลขอให้ทรงแสดงธรรม จึงได้ตรัสพระสูตรนี้.

* บาลีเป็น วสลสูตร